Tag : นามนินคลินิก
10 ชั่วโมงแห่งความใส่ใจ จากแพทย์ สู่คุณคนใหม่
นี่คือเวลา 10 ชั่วโมง 
...ที่บางคนต้องใช้เวลาศึกษาและตัดสินใจอยู่หลายปี
...ที่บางคนบอกว่าเป็นการลงทุนครั้งสำคัญโอกาสเดียวของชีวิต
...และหลาย ๆ คน เฝ้ารอที่จะได้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ หลังจาก 10 ชั่วโมงนี้

นั่นทำให้แพทย์หญิงนิล นามทองต้น หรือคุณหมอนิล แห่งคลินิกนามนิน เลือกที่จะทุ่มเทและใส่ใจไปกับ 10 ชั่วโมงในการปลูกผมใหม่ให้กับคนไข้ ซึ่งหากถามว่าทำไมจึงต้องกินเวลายาวนานถึง 10 ชั่วโมงต่อเนื่องกัน คำตอบก็คือ เพราะการปลูกผมเป็นหัตถการที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ต้องอาศัยศาสตร์การแพทย์ในการรักษา และมุมมองเชิงศิลป์ในการสร้างสรรค์ความงาม ผสานเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นการทำงานกับ เส้นผม ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ และหากไม่ระวังก็อาจพลั้งทำร้ายเส้นผมได้โดยง่าย 

การปลูกผมจึงไม่ใช่ภารกิจที่ใครก็ทำได้ ที่นามนิน ผู้ชำนาญตัวจริงเท่านั้นที่จะได้ทำหน้าที่สำคัญนี้ และนี่ก็คือ 10 ชั่วโมงการทำงานของทีมแพทย์ เพื่อลงมือปลูกผมใหม่ และเปลี่ยนเจ้าของเส้นผมเป็น คนใหม่ อย่างที่ใจต้องการ

วางแนวทางการรักษาร่วมกัน
30 – 40 นาที
คุณหมอนิลจะเริ่มต้นด้วยการชวนคนไข้นั่งลงพูดคุยกันถึงปัญหา ความกังวลใจ และความต้องการของคนไข้ เพื่อทำความเข้าใจเจ้าของเส้นผมให้มากที่สุด ก่อนจะวิเคราะห์ปัญหาผม และออกแบบแนวทางการรักษาแบบเฉพาะบุคคล โดยยึดคนไข้เป็นศูนย์กลาง เพราะคนไข้แต่ละคนมาด้วยปัญหาและปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกัน บางคนเพิ่งเริ่มมีอาการผมบางในระยะเริ่มต้น บางคนมาเมื่อผมบางจนใกล้เข้าสู่ภาวะผมล้านแล้ว บางคนมีกราฟต์ผมต้นทุนบริเวณ Safe Zone ด้านหลังท้ายทอยจำนวนมาก แต่บางคนมีไม่เพียงพอ 


ซึ่งตรงนี้ คุณหมอนิลจะช่วยประเมินพื้นที่ปลูกผมว่ากินบริเวณกว้างแค่ไหน คำนวณกราฟต์ผมต้นทุนที่ต้องใช้ว่ามีเพียงพอหรือไม่ หากไม่พอจะแก้ปัญหาอย่างไร เช่น เฉลี่ยกราฟต์ผมให้ปลูกได้ครอบคลุมโดยไม่ต้องหนาแน่นมาก หรือเลือกปลูกผมเฉพาะจุดที่จำเป็นจริง ๆ รวมไปถึงการทำ Treatment บำรุงอื่น ๆ เสริมควบคู่กัน 

ไม่เพียงเท่านั้น คุณหมอนิลยังวาดแนว Hairline หรือกรอบหน้าบริเวณหน้าผากให้ใหม่ เพื่อช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สมดุลตามหลัก Golden Ratio โดยไม่ลืมที่จะสอบถามความต้องการของคนไข้เช่นเคย จึงแน่ใจได้ว่า เส้นทางการรักษาที่วางไว้นั้น เกิดจากการร่วมกันคิดของทั้งสองฝ่าย คือแพทย์และคนไข้ อย่างแท้จริง


เตรียมพื้นที่ศีรษะด้านหลังท้ายทอย
20 – 30 นาที
เนื่องจากจะต้องมีการเจาะย้ายกราฟต์ผมจากบริเวณ Safe Zone ด้านหลังท้ายทอยไปปลูกใหม่ ซึ่งกราฟต์ผมบริเวณนี้ เป็นกราฟต์ผมที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทานต่อการหลุดร่วงมากที่สุด คุณหมอนิลจึงได้เวลานำคนไข้เข้าสู่ห้องหัตถการ และเริ่มด้วยการเตรียมพื้นที่ศีรษะด้านหลังท้ายทอยให้พร้อม โดยใช้ทักษะเฉพาะตัวของคุณหมอนิลเอง ลงมือตัดผมให้กับคนไข้ พร้อมกับใช้เทคนิคซ่อนแผลแบบขั้นบันได เพื่อที่ว่าเมื่อปลูกผมเสร็จเรียบร้อย คนไข้จะได้ไม่ต้องคอยกังวลปกปิดรอยแผลด้านหลัง จนไปจำกัดอิสระในการจัดแต่งหรือทำทรงผมต่าง ๆ ซึ่งเทคนิคที่ว่านี้ คุณหมอนิลก็เป็นผู้พัฒนาขึ้น เพื่อให้คนไข้ได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดนั่นเอง



เจาะย้ายกราฟต์ผมออก
3 – 6 ชั่วโมง
สำหรับขั้นตอนการเจาะย้ายกราฟต์ผมออกจากด้านหลังท้ายทอย คุณหมอนิลเป็นผู้วางแผนการใช้เครื่องมือต่าง ๆ โดยอุปกรณ์เจาะย้ายกราฟต์ผมนั้น จะมีขนาดเล็กพิเศษ เพื่อให้หลงเหลือรอยแผลน้อยที่สุด ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนขนาดของหัวเจาะ ให้เหมาะสมกับกราฟต์ผมที่แตกต่างกันของแต่ละคนได้ 

ในขั้นตอนนี้ ผู้ที่ลงมือเจาะย้ายกราฟต์ผมจะเป็นทีมสหวิชาชีพของนามนิน ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้นจากคุณหมอนิล อีกทั้งคุณหมอนิลยังเป็นผู้ควบคุมการทำหัตถการในขั้นตอนนี้ด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาด้วย


ไม่เพียงเท่านั้น กราฟต์ผมที่เจาะย้ายออกมาแล้ว จะต้องนำไปแช่ในน้ำยารักษาสภาพผมทันที ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนของการคัดเลือกกราฟต์ และตัดแต่งกราฟต์ เนื่องจากพื้นที่ปลูกผมใหม่แต่ละจุดอาจจำเป็นต้องใช้กราฟต์ผมที่มีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน จึงจะดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ เช่นบริเวณ แนวไรผม นั้น ต้องใช้กราฟต์ผมเส้นเล็ก บาง และมีจำนวนเส้นผมต่อกราฟต์เพียงเส้นเดียว ส่วนบริเวณ กลางศีรษะ อาจต้องใช้กราฟต์ผมเส้นหนาใหญ่ และมีจำนวนเส้นผมต่อกราฟต์ 3 - 4 เส้น การคัดเลือกและตัดแต่งกราฟต์ จึงเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนของการปลูกผม ที่คุณหมอนิลให้ความสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนไหน ๆ ได้เป็นอย่างดี

หลังจากนี้จะเป็นการพักรับประทานอาหารหรือของว่างเพื่อเติมพลัง และพักให้ร่างกายได้ผ่อนคลายประมาณ 30 – 45 นาที โดยมีขั้นตอนที่เป็นหัวใจหลักของการปลูกผมรออยู่ในช่วงต่อไป

ปลูกผมใหม่ด้วยแพทย์แบบเส้นต่อเส้น
3 – 6 ชั่วโมง
ในที่สุดก็มาถึงขั้นตอนของการปักกราฟต์ผมที่เตรียมเอาไว้อย่างดี ลงบนพื้นที่หนังศีรษะที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง และแน่นอนว่า อาจจะมีกราฟต์ผมที่รอการปักมากเป็นจำนวนนับหลายพันเส้น แต่ทั้งหมดนั้น จะมีคุณหมอนิลเพียงคนเดียว ที่ทำหน้าที่ปักกราฟต์ผมทีละกราฟต์ ด้วยความละเอียด ประณีต พิถีพิถัน โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลต่อความอยู่รอดของกราฟต์ผมใหม่ให้มากที่สุด ดังนี้

  • ทิศทางในการเรียงตัวของกราฟต์ผมใหม่ รวมถึงองศาความลาดเอียงในการปัก เพื่อให้ผมใหม่ดูกลมกลืนไปกับเส้นผมเดิม แลดูใกล้เคียงผมธรรมชาติ ที่สำคัญ ไม่ชี้ย้อนผิดทิศผิดทาง ซึ่งโดยปกติแล้ว กว่าจะรู้ว่าผมใหม่เรียงตัวตามทิศทางเดิมหรือไม่ ก็ต้องรอให้ผมยาวขึ้นเมื่อผ่านไปแล้วหลายเดือน ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ หรืออาจแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว เรื่องของทิศทางและองศาจึงเป็นที่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ

  • ระยะความลึกในการปักกราฟต์ หากปักกราฟต์ผมตื้นเกินไป อาจจะหลุดร่วงง่าย และส่งผลให้เส้นเลือดต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงอาหารมาเลี้ยงเส้นผม ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เส้นผมอ่อนแอ ไม่แข็งแรง

  • ความหนาแน่นในการปักกราฟต์ แพทย์ผู้ชำนาญจะปักกราฟต์ผมให้ได้ความหนาแน่นกำลังดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะหากน้อยเกินไป ผมของคนไข้อาจจะยังดูบางจนแทบไม่ช่วยแก้ปัญหา หรือถ้าหากแน่นเกินไป ก็เสี่ยงที่กราฟต์ผมจะเบียดกันจนหลุดร่วงได้ง่ายกว่าที่ควร


ที่สำคัญ คุณหมอนินยังเลือกใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัย นำเข้าจากต่างประเทศ นั่นคือ Implanter Pen หรือปากกาปลูกผม ที่มีขนาดเล็กพิเศษเพียง 0.6 มิลลิเมตร นับเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การปลูกผมสามารถทำได้อย่างแม่นยำ ลดความผิดพลาด ทั้งยังช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก เลือดออกน้อย ลดอาการบวมช้ำที่เป็นภาพจำน่ากลัวฝังใจใครหลาย ๆ คน และนั่นก็ทำให้คนไข้ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถลุกขึ้นมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้นด้วย



ทั้งนี้ เวลาที่ใช้ในการปลูกผมจริง ๆ อาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหา และจำนวนกราฟต์ผมที่ใช้ในการปลูกแต่ละเคส โดยตลอดกระบวนการทั้งหมดนี้ คุณหมอนิลจะเป็นผู้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด และคอยอธิบายให้คนไข้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องหัตถการ เพื่อคลายความกังวลของคนไข้ 

และเมื่อผ่านพ้น 10 ชั่วโมงแห่งความทุ่มเทใส่ใจนี้ไป ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณหมอกับคนไข้มาถึงเส้นชัยแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังต้องจับมือกันประคับประคองดูแลเส้นผมที่เพิ่งปลูกไปนั้น ให้อยู่รอด เติบโต แข็งแรง โดยมีคุณหมอนิลเป็นผู้คอยติดตามผลทุกระยะ และให้คำปรึกษาด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงแนะนำ Treatment และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนกว่าคนไข้จะได้พิสูจน์ผลลัพธ์ผมใหม่ว่าคุ้มค่ากับที่รอคอยมานาน พร้อม ๆ กับการได้เปลี่ยนตัวเองเป็น คนใหม่ ที่มั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม




“ปรึกษาแพทย์” สำคัญแค่ไหน?
“ปรึกษาแพทย์” สำคัญแค่ไหน?
ก่อนตัดสินใจปลูกผม
อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจปลูกผม 

  • ถ้าเรายังไม่รู้ว่า การปลูกผมคืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร ใช้เวลานานแค่ไหน
  • เราจะต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง 
  • เราสามารถคาดหวังผลลัพธ์ผมใหม่ได้มากน้อยแค่ไหน
  • และจะต้องใช้แนวทางการรักษาแบบใดจึงจะเหมาะสม 
  • หรือว่าเรายังหลงเหลือข้อสงสัยคาใจที่ยังไม่ได้คำตอบ

เพราะเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า การปลูกผมใหม่ครั้งนี้ จะเป็น การลงทุนที่คุ้มค่า อย่างแท้จริง หากยังไม่รู้ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ดีพอ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่นามนินย้ำเสมอว่า ขั้นตอนการพบแพทย์เพื่อพูดคุยปรึกษา ไม่เพียงเป็นขั้นตอนแรกสุด แต่ยังเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไม่แพ้กระบวนการไหน ๆ ก่อนที่เราจะตัดสินใจปลูกผม ซึ่งอาจเป็นเพียงโอกาสที่เกิดขึ้นได้ครั้งเดียวในชีวิต


ทำไมต้อง “ปรึกษาแพทย์” ก่อนตัดสินใจปลูกผม

เพราะการปลูกผม ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจ
การปลูกผมเป็นหัตถการทางการแพทย์ ที่ต้องอาศัยทั้งศาสตร์ความรู้ด้านเส้นผม และมุมมองความงามเชิงศิลป์ มีขั้นตอนต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยความละเอียดประณีต มีข้อจำกัดที่คนไข้ควรต้องรับทราบ และมีระยะเวลาในการติดตามผลยาวนานถึง 1 ปี ทั้งหมดนี้ คุณหมอนิน – แพทย์หญิงดิลกณิกนันต์ นามทองต้น จึงเลือกให้ “เวลา” กับขั้นตอนการพูดคุยปรึกษากับคนไข้อย่างเต็มที่ เปลี่ยนทุกชั่วโมงและนาทีให้กลายเป็นเวลาคุณภาพ ในการอธิบายทุกขั้นตอนการรักษาตั้งแต่ต้นจนจบ และตอบคำถามเคลียร์ทุกข้อสงสัย แบบที่ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตซึ่งมีอยู่มากมายก็ไม่อาจตอบได้ครบถ้วน จนคนไข้เห็นภาพเส้นทางการรักษาตลอด 1 ปีเต็มได้อย่างชัดเจน


เพราะการปลูกผม เป็นการรักษาแบบเฉพาะบุคคล 
ที่นามนิน เราไม่มีสูตรสำเร็จในการรักษา ตรงกันข้าม คุณหมอนินจะออกแบบการรักษาแบบ Tailor-made หรือ Case-by-case เฉพาะคน โดยยึดคนไข้เป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณหมอได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ระหว่างขั้นตอนการปรึกษา เพื่อทำความเข้าใจปัญหาเส้นผม ความกังวลต่าง ๆ รวมถึงความต้องการของคนไข้ รวมไปถึงข้อจำกัดจากเพศ วัย สภาพผม โดยเฉพาะปริมาณกราฟต์ต้นทุนด้านหลังท้ายทอยที่เหลืออยู่ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนในการคำนวณกราฟต์ผม และออกแบบแนวทางการรักษาแบบเฉพาะบุคคล เคสใหม่ คิดใหม่ ไม่มีซ้ำ เพื่อตอบโจทย์คนไข้แต่ละคนให้ตรงจุดมากที่สุดนั่นเอง 


เพราะการปลูกผม คือการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์และคนไข้
ต่อให้แพทย์มีความชำนาญแค่ไหน แต่ถ้าคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือระหว่างเส้นทางการปลูกผม ผลลัพธ์ก็อาจจะออกมาไม่ตรงกับที่ตั้งใจไว้ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจปลูกผม คุณหมอจึงใช้ช่วงเวลาที่สำคัญนี้ในการอธิบายถึงรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างคุณหมอกับคนไข้ ว่าคุณหมอจะมีบทบาทอย่างไรตลอดระยะการรักษา 1 ปี ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบแนวทางการรักษา ลงมือปลูกผมด้วยตนเอง ไปจนถึงการติดตามผลและให้คำแนะนำทุก ๆ ระยะ ขณะเดียวกัน คนไข้ก็มีส่วนสำคัญในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง เพื่อดูแลทะนุถนอมผมปลูกใหม่ให้อยู่รอด ซึ่งทั้งหมดนี้ คุณหมอไม่สามารถวางแผนคนเดียวได้ แต่จะต้องเป็นการวางแผนร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เส้นผมที่เติบโต แข็งแรง สมบูรณ์



เพราะนี่คือโอกาสทำความรู้จักแพทย์ให้มากขึ้น จากการคุยกันครั้งแรก
คนไข้หลาย ๆ คนบอกตรงกันว่า พวกเขาตัดสินใจเข้ารับการปลูกผมได้ง่ายขึ้น หรือแทบไม่ต้องลังเล หลังจากได้พูดคุยโดยตรงกับคุณหมอนิน เพราะทำให้ได้เห็นถึงแนวคิด อัธยาศัย วิธีการตอบคำถาม วิธีการทำความเข้าใจคนไข้ รวมถึงวิธีการออกแบบการรักษา ซึ่งสะท้อนถึงประสบการณ์ ความชำนาญ และความใส่ใจของคุณหมอได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้รับทราบถึงรายละเอียดพิเศษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่คุณหมอลงมือปลูกผมให้เองทุกกราฟต์ การที่คุณหมอเลือกอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ที่คุณหมอพัฒนาต่อยอดขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายยิ่งกว่าให้กับคนไข้ ทั้งหมดนี้ ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นในการตัดสินใจปลูกผมด้วย


และนี่ก็คือความสำคัญของขั้นตอนการปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจปลูกผม ซึ่งที่นามนิน ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาพูดคุยกับคุณหมอได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รับรองว่า เวลา 1 ชั่วโมงที่ใช้ไปกับคุณหมอ คุ้มค่าพอกับการตัดสินใจปลูกผม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาจนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ถึง 1 ปีอย่างแน่นอน

หลักสูตรปลูกผม เพื่อแพทย์โดยเฉพาะ
ADVANCE HAND-ON HAIR TRANSPLANT TRAINING
หลักสูตรปลูกผม กลุ่มเล็ก - เจาะลึก
เพื่อแพทย์โดยเฉพาะ

เติมเต็มประสบการณ์และอัปเดตทักษะความรู้ด้านการปลูกผม กับแพทย์หญิงดิลกณิกนันต์ นามทองต้น แพทย์ผู้พัฒนาเทคนิ ในหลักสูตรอบรมด้านการปลูกผมขั้นสูง ด้วยเทคนิค Micrograft Forceps FUE เจาะลึกทฤษฎีตามหลักการแพทย์อย่างเข้มข้น ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การเตรียมเครื่องมือทำหัตถการ การออกบแบบแนวผมด้านหน้า รวมถึงเทคนิคการย้ายกราฟต์ผมจากด้านหลังท้ายทอย นำมาเตรียมสภาพให้พร้อม และปลูกบนพื้นที่ให้ดูเป็นธรรมชาติ พร้อมลงมือปลูกผมจริงให้ผู้เข้ารับบริการในห้องหัตถการ เพื่อฝึกทักษะการใช้อุปกรณ์จริง โดยเป็นกลุ่มขนาดเล็ก เป็นหลักสูตรที่ถ่ายทอดเนื้อหาได้อย่างทั่วถึง ครบจบทุกขั้นตอนในเวลาเพียง 2 วัน ซึ่งจะทำให้ผู้รับการอบรมเข้าใจทุกกระบวนการในการทำงานอย่างชัดเจน

นามนินขอแสดงความยินดีกับแพทย์ทุกท่าน ที่ผ่านการอบรมด้วยดีค่ะ





















นามนิน ก้าวสู่ปีที่ 4 กับ Hair Medical Center
“บริการปลูกผม” ตลาดใหญ่มาแรงระดับโลก

ประเทศไทยอยู่ตรงไหน ในภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรมความงามด้านเส้นผมของโลก ?

ผลการวิจัยเผยว่า ในปี 2020 ที่ผ่านมา ตัวเลขมูลค่าตลาด “การปลูกผม” ทั่วโลก อยู่ที่ประมาณ 106,062 ล้านบาท และในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2027 ตัวเลขดังกล่าวอาจทะยานสูงขึ้นแตะ 136,508 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตของตลาดเฉลี่ยต่อปีถึง 3.6% เช่นเดียวกับตลาด “ผลิตภัณฑ์บำรุงและลดการหลุดร่วงของเส้นผม” ที่จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน อยู่ที่ 3.83% โดยจะเห็นภาพการเติบโตชัดเจนที่สุดในภูมิภาคเอเชียนี่เอง (กรุงเทพธุรกิจ, 2565)

แน่นอนว่า ประเทศไทย ก็เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กที่กำลังทวีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งสำหรับตลาด Hair Care หรือผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อการดูแลเส้นโดยรวมของประเทศ ที่มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาทนั้น บริการปลูกผมครองสัดส่วนของตลาดอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว (กรุงเทพธุรกิจ, 2563) สอดคล้องกับการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วของคลินิกปลูกผมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แม้วันนี้ ตลาดปลูกผมไทยอาจยังตามหลังประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่น แต่การพัฒนาฝีมืออย่างก้าวกระโดดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมคนไทย ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมไปถึงความเป็นเลิศด้านการให้บริการ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ ก็ส่งให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงเพียงพอที่จะตั้งเป้าหมายใหม่ในการยกระดับวงการปลูกผม เพื่อรองรับการเป็น Medical Hub of Hair Transplantation ของภูมิภาคเอเชียในอนาคต


สำรวจปัจจัยความเติบโต ของเทรนด์ “ปลูกผม” ในประเทศไทย 

การที่ตลาด “ปลูกผม” ในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ปัจจัยข้อแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของคนไทยเอง ในปัจจุบัน คนไทยรวมถึงคนทั่วโลก หันมาให้ความสำคัญกับการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้เทรนด์สุขภาพยังคงเป็นกระแสระดับท็อปต่อเนื่องยาวนานหลายปี เราจึงเห็นผู้คนลุกขึ้นมาค้นคว้าศึกษาข้อมูล ปรับวิถีชีวิตใหม่ เพิ่มมูลค่าการใช้จ่าย และเพิ่มเวลาให้กับการดูแลตัวเองมากขึ้น เช่น การรับประทานอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย การดูแลสัดส่วนและรูปร่าง รวมไปถึงการจัดการกับปัญหาสุขภาพเส้นผมด้วย

นอกจากสุขภาพแล้ว ผู้คนก็ยังใส่ใจเรื่องบุคลิกภาพด้วยเช่นกัน ทั้งยังตระหนักมากขึ้นว่า เส้นผมคือเครื่องประดับชิ้นสำคัญของร่างกาย ที่จะช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี นำมาสู่ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือในสายตาของคนรอบข้าง และยังสะท้อนความเป็นตัวตนที่ไม่ซ้ำใคร หลาย ๆ คนหมดความมั่นใจในตัวเองลงง่าย ๆ เมื่อเผชิญกับปัญหาเส้นผม ซึ่งการขังตัวเองไว้กับความรู้สึกกังวลและไม่มั่นใจในทุกครั้งที่ส่องกระจกนั้น ทำให้หลายคนไม่กล้าใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ จนอาจพลาดโอกาสสำคัญต่าง ๆ ไป ดังนั้น คนจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นที่จะหันกลับมาดูแลเส้นผม ไม่ต่างจากการดูแลร่างกายส่วนอื่น ๆ 

ที่สำคัญ ภาพจำของคำว่า การปลูกผม ก็เริ่มเปลี่ยนไป ที่ผ่านมา คนมักจะติดภาพว่าการปลูกผมเป็นเรื่องของคนสูงวัย หรือคนที่มีปัญหาเส้นผมรุนแรง แต่ปัจจุบันเทรนด์การปลูกผมเริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่มีช่วงอายุน้อยลงเรื่อย ๆ จากสถิติโดยทั่วไป คนในวัย 25 – 35 ปี ตัดสินใจเข้ารับการปลูกผมใหม่ถึง 25% ขณะเดียวกัน คนในวัยต่ำกว่า 25 ปี ก็เริ่มกล้าที่จะเข้ามาปรึกษาปัญหาเส้นผมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเริ่มต้นปลูกผมเพื่อดูแลจัดการปัญหาแต่เนิ่น ๆ กันมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ภาพจำเก่า ๆ ว่าการปลูกผมเป็นเรื่องของผู้ชายก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะผู้หญิงเริ่มเข้ามารับบริการปลูกผมมากขึ้น โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 20% 

สำหรับปัจจัยสำคัญอีกข้อหนึ่ง ก็คือเทคนิคการปลูกผม ที่ส่งผลต่อประสบการณ์การปลูกผมของคนไข้ เนื่องจากในอดีต การปลูกผมอาจไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์นัก คนไข้ต้องเผชิญความยากลำบากจากการรักษา ตั้งแต่การโกนผมด้านหลังทั้งหมดเพื่อ “ผ่าตัด” ย้ายกราฟต์ผมออก อุปกรณ์ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเต็มที่ ยังทิ้งรอยแผลน่ากลัวไว้พร้อมกับอาการเจ็บและบวมช้ำ ทำให้คนไข้ต้องใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนาน ทั้งยังเกิดข้อจำกัดในการทำผมทรงต่าง ๆ เพราะต้องคอยระวังปกปิดรอยแผลจากการปลูกผม จนกระทบต่อความมั่นใจ และการใช้ชีวิตประจำวันในหลาย ๆ ด้าน

แต่ทุกวันนี้ นวัตกรรมการปลูกผมได้รับการพัฒนาขึ้นจนสามารถลบภาพประสบการณ์แย่ ๆ ที่กล่าวมาได้เกือบทั้งหมด เนื่องจากเทคนิคการปลูกผมและแนวทางการักษาที่ก้าวหน้ามากขึ้นในทุก ๆ มิติ ที่ “นามนิน” คนไข้ที่เข้ารับการปลูกผมจะได้สัมผัสความประทับใจจากบริการปลูกผมที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ภายใต้ชื่อเทคนิค NEAT หรือ Namnin’s Exclusive Advanced Hair Transplant Technique ซึ่งหมายถึง “เทคนิคการปลูกผมขั้นสูงเอกสิทธิ์เฉพาะของนามนิน” โดยนำทั้ง “ศาสตร์” การแพทย์ด้านเส้นผม มาผสานกับ “ศิลปะ” การสร้างสรรค์ความงาม เพื่อมอบผลลัพธ์การปลูกผมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเส้นผมและเติมเต็มความมั่นใจให้กับคนไข้ได้อย่างแท้จริง


เทคนิค NEAT ยังมีความหมายซ่อนอยู่ในทุกตัวอักษร 

N - Namnin
หมายถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของนามนิน ที่ไม่เคยหยุดศึกษา พัฒนา และต่อยอดองค์ความรู้ จากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับคนไข้ ที่สำคัญ แพทย์ของนามนินจะเป็นผู้ลงมือปลูกผมให้กับคนไข้ด้วยตัวเอง แบบเส้นต่อเส้น

E - Exclusive
หมายถึงการที่แพทย์เข้าใจในลักษณะปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกันของคนไข้ ซึ่งไม่สามารถใช้สูตรการรักษาแบบเดียวกันได้ทุกคน ดังนั้น จึงต้องออกแบบแนวทางการรักษา “เฉพาะบุคคล” เคสใหม่ คิดใหม่ ไม่มีซ้ำ ไม่มีสูตรสำเร็จ เช่นเดียวกับการวัดตัวตัดเสื้อแบบ Tailor-Made เลยก็ว่าได้

A - Advanced
หมายถึงเทคนิคการปลูกผมขั้นสูง ที่คิดค้นและพัฒนาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของนามนินเอง เพื่อตอบโจทย์การรักษาได้อย่างตรงจุดมากที่สุด

T - Technique
หมายถึงเทคนิคเสริมและองค์ประกอบต่าง ๆ ตลอดกระบวนการรักษา รวมถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้ผลลัพธ์การปลูกผมที่คนไข้พึงพอใจ ทั้งยังช่วยให้คนไข้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ทั้งหมดนี้ จึงช่วยเปลี่ยนประสบการณ์การปลูกผมของคนไข้ให้กลายเป็นประสบการณ์สุดพิเศษ โดยเทคนิคใหม่ ๆ เหล่านี้จะช่วยให้คนไข้ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องโกนผม เพียงใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กเจาะย้ายกราฟต์ผมออก และนำไปปลูกใหม่ในบริเวณที่ต้องการ ลดอาการเจ็บ บวมช้ำ เลือดออกน้อย ทิ้งรอยแผลขนาดเล็กจนแทบมองไม่เห็น และแทบไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันต่อ หรือไปทำงานในวันรุ่งขึ้นได้ทันที ไม่เพียงเท่านั้น เทคนิคการย้ายผมออกจากด้านหลังแบบขั้นบันได ยังช่วยให้คนไข้ไม่ต้องกังวลกับการปกปิดรอยแผลอีกต่อไป สามารถทำผมทรงต่าง ๆ ได้อย่างใจทุกสไตล์ ซึ่งเท่ากับอิสระในการใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้นด้วย


ก้าวสู่ปีที่ 4 กับ “นามนิน”

หลังก้าวผ่าน 3 ปีแห่งความใส่ใจในปัญหาเส้นผมทุกมิติของคนไข้ และความตั้งใจที่จะพัฒนาเทคนิคการปลูกผมให้เหนือมาตรฐานขึ้นไปอย่างไม่มีวันหยุด ก้าวต่อไปในปีที่ 4 ของ “นามนิน” จะไม่ใช่แค่ในบทบาทของ “คลินิก” แต่คือการเติบโตขึ้นไปเป็น Hair Medical Center ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมอย่างครบวงจร ที่ไม่เพียงให้บริการด้านการรักษาและดูแลเส้นผม แต่ยังนำเสนอคอร์สปลูกผมสุด Exclusive ที่นำเอาความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ และเทคนิคเฉพาะตัวของคุณหมอนิน รวมเอาไว้ในคอสร์สนี้อย่างเข้มข้น สอนและถ่ายทอดจาก “อาจารย์แพทย์” สู่ “แพทย์” โดยเฉพาะ รวมถึงการเป็นศูนย์รวมบริการ Treatment และผลิตภัณฑ์ด้านเส้นผมที่พัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหาเส้นผมอย่างแท้จริง พร้อมทั้งเดินหน้าแผนพัฒนาธุรกิจในมิติอื่น ๆ เพื่อรองรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ให้ความไว้วางใจในคุณภาพการให้บริการของนามนินเสมอมา

และสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนไป ก็คือคำสัญญาจากนามนิน ที่จะ “ใส่ใจเพื่อคุณคนใหม่” ตั้งแต่ก้าวแรกที่คนไข้เข้ามาพบแพทย์เพื่อพูดคุย ปรึกษา บอกเล่าปัญหาและความต้องการของตัวเอง ก่อนจะร่วมกันวางแผนเส้นทางการรักษาที่ยาวนานถึง 1 ปีเต็ม และแพทย์เริ่มลงมือปลูกผมใหม่ให้คนไข้แบบเส้นต่อเส้น ตามมาด้วยช่วงเวลาแห่งการอดทน รอคอย และถนอมดูแลเส้นผมใหม่ โดยมีแพทย์คอยติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด จนถึงวันที่คนไข้ได้ปลดล็อกตัวเองไปสู่การเป็น “คนใหม่” ได้สำเร็จ ซึ่ง “นามนิน” หวังว่าจะได้เห็นภาพความสุขแบบนี้ ในขวบปีที่ 4 ตลอดจนปีต่อ ๆ ไปข้างหน้า

.
#NEATคือศาสตร์และศิลป์

NEAT ความลงตัวที่สมบูรณ์แบบ
การปลูกผมเทคนิค NEAT ของนามนิน พัฒนามาจากเทคนิค FUE หรือ Follicular Unit Excision เป็นการใช้เครื่องมือขนาดเล็กเจาะนำกราฟท์ผมออกมาจากด้านหลังท้ายทอยทีละกราฟท์ ข้อดีคือจะทิ้งไว้เพียงรอยแผลขนาดเล็ก ๆ ในบริเวณที่นำกราฟท์ผมออกมาเท่านั้น ซึ่งเทคนิค FUE เป็นการปลูกมาตรฐานสากลที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย เพราะโดดเด่นด้านความสวยงาม สะดวกสบายต่อคนไข้และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

อีกเทคนิคหนึ่งที่นามนินได้นำมาปรับใช้คือ DHI หรือ Direct Hair Implantation คือการใช้ Implanter Pen  หรืออุปกรณ์ขนาดเล็กพิเศษ นำกราฟท์ผมปักลงไปยังบริเวณที่ต้องการปลูกผมใหม่โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากวิธีดั้งเดิมคือการเจาะรูบนหนังศีรษะ แล้วนำ Forceps หรืออุปกรณ์คีมเล็ก ๆ คีบกราฟท์ผมมาปักลงไปทีละกราฟท์ ซึ่งใช้เวลามากและมีโอกาสที่รากผมจะเสียหายได้ 

ในขณะที่เทคนิค DHI แพทย์จะปักกราฟท์ผมได้ละเอียด แม่นยำ รวดเร็ว และแพทย์ยังสามารถควบคุมความลึกในการฝังรากผม ตลอดจนทิศทางหรือองศาของเส้นผมใหม่ได้ดีขึ้นด้วย เป็นวิธีการปลูกผมที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

ด้วยความรู้และประสบการณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นามนิน จึงได้คัดสรรจุดเด่นของเทคนิค FUE และ DHI มาพัฒนาและสร้างสรรค์ต่อจนเกิดเป็น NEAT หรือ Namnin Exclusive Advanced hair transplant Technique เทคนิคการปลูกผมขั้นสูงเอกสิทธิ์เฉพาะของนามนิน ที่ลงตัวทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ในทุกขั้นตอน

เริ่มต้นด้วยการออกแบบ Hairline ใหม่ให้เข้ากับรูปหน้า เพื่อปรับแต่งกรอบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น จากนั้นใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กเพียง 0.6 มม.เจาะเพื่อนำกราฟท์ผมทางด้านหลังออกเป็นแนวขั้นบันไดเพื่อซ่อนแผลให้แนบเนียนกับผมเดิมโดยไม่ต้องผ่าตัด แพทย์จะวางแนวผมและตัดผมให้คนไข้ด้วยตนเอง ไม่ต้องโกนผมหรือตัดผมสั้น ไม่เห็นรอยแผล 

ขั้นตอนต่อมาคือการปลูกผมลงในบริเวณที่กำหนดไว้ ซึ่งแพทย์ของนามนินจะเป็นผู้ลงมือปักกราฟท์ผมใหม่ด้วยตัวเองทุกกราฟท์ด้วยเทคนิค DHI แต่เหนือกว่าด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ในการปลูกผมหรือ Implanter Pen ให้มีขนาดเล็กพิเศษเพียง 0.6 มิลลิเมตร คัดเลือกและจัดวางผมแต่ละกราฟท์โดยคำนึงถึงความเหมาะสมตามขนาดความหนาและบางของเส้นผม ควบคุมระยะห่างให้เหมาะสม วางทิศทางและองศาของการปักผมแต่ละกราฟท์ให้กลมกลืนไปกับผมเดิม และปลูกแซมผมเลยแนวไรผมเดิมเข้าไปเล็กน้อยเพื่อความเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

การปลูกผมเทคนิค NEAT ได้ผ่านการคิดค้นและพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทุกความกังวลและความคาดหวังของคนไข้อย่างลงตัวที่สุด มอบความสะดวกสบายและผลลัพธ์ที่คุ้มค่าการรอคอย ด้วยความเชี่ยวชาญของแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัย 

หลังการปลูกผม คนไข้สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ชีวิตไม่สะดุด ไม่ต้องพักฟื้นหรือต้องคอยปกปิดรอยแผลเป็นใดๆ ได้เส้นผมใหม่ที่เป็นธรรมชาติทั้งความหนาแน่นและทิศทางของเส้นผม พร้อมเปิดรับสิ่งดีๆในชีวิตที่กำลังจะตามมาแน่นอน

เพราะ "หัวใจการปลูกผมของนามนิน" คือการเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกด้าน การทำงานในทุกขั้นตอนจึงสะท้อนถึงความใส่ใจและความพิถีพิถันเฉพาะตัวของแพทย์อย่างชัดเจน นำทุกปัญหาและความต้องการคนไข้มาใช้เป็นศูนย์กลางของการทำงาน รับฟัง วิเคราะห์ และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมเฉพาะเป็นรายบุคคล ติดตามผลการรักษาและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดตลอด 1 ปีของการปลูกผม เพื่อมอบเส้นผมใหม่ที่เปรียบเสมือนชีวิตใหม่ให้คนไข้ได้ก้าวต่อไปอย่างมั่นใจและมีความสุขที่สุด  

ทำไมผู้ชายเสี่ยง “ผมล้าน” มากกว่าผู้หญิง
"ไม่ใช่คำสาปหรือความลำเอียงของพระเจ้า แต่เรื่องของเส้นผมบนศีรษะของคนเรา เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติล้วน ๆ"

วันนี้ เราจะเปิดบทเรียนชีววิทยาเล็ก ๆ ที่จะช่วยไขความลับระดับพันธุกรรม และตอบคำถามว่า ทำไมกันนะ ผู้ชายจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ “ผมล้าน” และ “ผมร่วง” มากกว่าผู้หญิง

ผู้หญิงกับผู้ชายมีลักษณะทางกายภาพโดยทั่วไปที่แตกต่างกันเป็นปกติอยู่แล้ว เช่นเดียวกับในเพศผู้หรือเพศเมียของสัตว์ ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องมี “ยีน” หรือ “หน่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม” ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ “เพศ” อยู่ 

หากยีนเหล่านั้นมีตำแหน่งอยู่บน “โครโมโซมเพศ” โดยตรง (Sex-linked traits) เพศก็จะมีผลต่อการแสดงออกของยีน แต่ถ้ายีนเหล่านั้นมีตำแหน่งอยู่บน “ออโตโซม” นั่นแปลว่า ไม่ใช่แค่เพศเท่านั้นที่มีผลต่อการแสดงออกของยีน แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น อย่างเช่นฮอร์โมนในร่างกายด้วย ซึ่งจะพบได้ใน 2 รูปแบบต่อไปนี้

  • ลักษณะทางพันธุกรรมจำกัดเพศ หรือ Sex-limited traits
แม้ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มียีนควบคุมลักษณะเช่นนี้อยู่บนออโตโซม แต่ลักษณะดังกล่าวจะแสดงออกในเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การที่ผู้ชายมีหนวดเครา มีเสียงห้าว หรือการที่ผู้หญิงสามารถผลิตน้ำนมเลี้ยงลูกได้ ซึ่งฮอร์โมนจะเป็นตัวควบคุมให้ลักษณะนี้เกิดเพียงแค่เฉพาะในผู้ชายหรือผู้หญิง

  • ลักษณะทางพันธุกรรมที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเพศ หรือ Sex-influenced traits
เช่นเดียวกัน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มียีนควบคุมลักษณะเช่นนี้อยู่บนออโตโซม และลักษณะดังกล่าวจะแสดงออกได้ในทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยมีฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราพบลักษณะเหล่านี้ได้มากในเพศหนึ่ง และพบได้น้อยในอีกเพศหนึ่ง 




ตัวอย่างที่ชัดเจนของที่สุดของรูปแบบนี้ ก็คือลักษณะ “ผมล้าน” ที่เกิดขึ้นได้ทั้งสองเพศ แต่มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากเพศชายมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) มากกว่านั่นเอง และหากผู้หญิงคนไหนที่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในระดับสูง ก็จะเกิดอาการ “ผมล้าน” ได้มากกว่าปกติเช่นกัน

สำหรับผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดลักษณะผมล้านผ่านทางพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า Androgenetic alopecia นั้น จะพบว่าเอนไซม์ 5-alpha reductase ที่บริเวณหนังศีรษะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งเอนไซม์ที่ว่านี้ จะไปเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ให้กลายเป็นฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (dihydrotestosterone) หรือ DHT 

เจ้าฮอร์โมน DHT นี่เอง คือตัวการที่ส่งผลให้รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะเล็กลง ทำให้เส้นผมเกิดใหม่มีรากผมอ่อนแอ เส้นบางและสั้นลง จนหลุดร่วงเร็วกว่าปกติ เป็นที่มาของอาการผมร่วง ผมบาง และผมล้าน ที่พบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิงนั่นเอง








น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ลักษณะผมล้าน เรียกได้ว่าเป็น Polygenic trait หรือเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่ และมีระดับการแสดงออกของอาการแตกต่างกันไปหลายระดับ เช่นสีตาของมนุษย์ เกิดจากการที่ยีนส่งผลต่อการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ตามีสีน้ำตาลเข้ม ไล่มาจนถึงสีน้ำตาลอ่อน รวมไปถึงตัวอย่างอื่น ๆ เช่นลักษณะสีผิว ลักษณะความสูง ตลอดจนสีของเมล็ดพืชหรือขนาดของผลไม้ด้วย ที่สำคัญ ยีนเหล่านี้ รวมถึงยีนผมล้าน อาจได้รับการถ่ายทอดมาจากฝั่งพ่อหรือแม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรับมาจากฝั่งพ่อเพียงฝ่ายเดียว


การทำความเข้าใจที่มาของอาการผมร่วง ผมบาง และผมล้าน ผ่านรหัสพันธุกรรมที่แม้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะช่วยให้การรับมือกับปัญหาเส้นผม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเราเริ่มรู้สึกกังวลจากอาการผมร่วงหรือผมบาง ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมโดยไม่จำเป็นต้องรอให้อาการรุนแรงขึ้น หรืออายุมากขึ้น เนื่องจากหากแพทย์มีโอกาสวินิจฉัยได้เร็ว ก็จะช่วยให้ทราบว่าคนไข้มีระดับความเสี่ยงสูงแค่ไหนที่จะเกิดปัญหาผมล้านในอนาคต และรีบรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อให้ผมสวยสุขภาพดีอยู่คู่กับหนังศีรษะของเราไปนาน ๆ 



ไขสาเหตุอาการคันหลังปลูกผม
การปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม เป็นทางเลือกที่กำลังมาแรงในกลุ่มผู้ประสบปัญหาผมร่วงและผมบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือแม้กระทั่งวัยเรียน ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการย้ายเซลล์รากผมจากหนังศีรษะด้านหลังท้ายทอย โดยไม่ต้องโกนผมบริเวณนั้นออก แล้วจึงนำเซลล์รากผมที่แข็งแรงและทนทานต่อการหลุดร่วงเหล่านั้น มาตรวจสอบ คัดแยก และปลูกลงใหม่ในบริเวณที่เป็นปัญหา ให้กลมกลืนไปกับสภาพผมเดิม และสอดรับกับรูปหน้าของผู้ปลูกผม




แม้ว่าเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม จะไม่ต้องผ่าตัด ทำให้เกิดแผลเพียงขนาดเล็ก และเจ็บน้อย แต่หลังปลูกผม ก็ยังสามารถเกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ ในระยะแรก ๆ ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ “อาการคัน” ทั้งตรงบริเวณท้ายทอยที่เจาะนำรากผมออกมา และบริเวณที่ทำการปลูกผมลงไปใหม่ หลาย ๆ คนจึงตั้งข้อสงสัยว่า อาการคันเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงหรือเปล่า แล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรดีหากเกิดอาการคันขึ้น 

ลองมาดูสาเหตุของอาการคันที่เกิดขึ้นหลังจากการปลูกผม อย่างที่ทราบกันดีว่า แผลที่ใกล้หาย มักจะเกิดอาการคันมากกว่าปกติ ดังนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจกระบวนการสมานแผลของร่างกายกันก่อน 

  • ขั้นแรก เมื่อเกิดบาดแผลขึ้น ร่างกายของเราจะเริ่มห้ามเลือด โดยเส้นเลือดจะบีบแคบลง ทำให้เลือดไหลช้าลง ขณะเดียวกัน เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มกันกลายเป็นลิ่มเลือดบริเวณปากแผล พร้อมกับเกิดการสร้างตาข่ายเส้นใยทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด 

  • ขั้นต่อมา เป็นระยะของการอาการอักเสบ ซึ่งหมายถึงการที่ร่างกายเริ่มทำความสะอาดบาดแผลและกำจัดสิ่งสกปกรกต่าง ๆ ออกไปเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

  • จากนั้น เข้าสู่ระยะที่ร่างกายเริ่มสร้างเส้นเลือดใหม่และผิวหนังใหม่ ในขั้นตอนนี้เองจะทำให้เกิดเป็นสะเก็ดปกคลุมแผล และรู้สึกว่าผิวตึงขึ้น

  • สุดท้าย คือขั้นตอนของการปรับตัวและฟื้นฟู ซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ที่ถูกทำลาย

คำตอบของสาเหตุอาการคันอาจอยู่ตรงนี้นี่เอง เมื่อร่ายกายสร้างสะเก็ดแผล หรือสะเก็ดเลือดขึ้น จะพบว่าภายในสะเก็ดแผลนั้นมี “ฮิสตามีน” (histamine) ที่ออกฤทธิ์ทำให้ผิวหนังรอบบาดแผลเกิดการระคายเคือง ฮิสตามีนนั้นเป็นโมเลกุลที่ปล่อยออกมาโดยมาสต์เซลล์ (mast cell) ที่อยู่ใต้ผิวหนัง จะถูกสร้างและหลั่งออกมาเมื่อเกิดอาการแพ้ ทำให้รู้สึกคันหรือเกิดผื่นแดงเช่นเวลาถูกแมลงกัด มีข้อสันนิษฐานว่า การที่มีฮิสตามีนอยู่ในสะเก็ดแผล อาจเป็นกลไกของร่างกาย ที่ทำให้เรารู้สึกคันและเกาบริเวณนั้น เพื่อกำจัดสะเก็ดแผลที่ไม่ต้องการให้หลุดออกไป 



นอกจากนั้น ยังมีทฤษฎีที่มาของอาการคัน ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสมานแผลในระยะที่ 3 หรือระยะสร้างเส้นเลือดและผิวหนังใหม่ เพราะสะเก็ดแผลจะดึงรั้งผิวหนังใหม่ จนเกิดอาการคันได้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ยังมีคำอธิบายอื่น ๆ อีก เช่น การทำหัตถการทางการแพทย์ต่าง ๆ ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง และกระทบกับเส้นประสาทบางส่วน รวมถึงต่อมเหงื่อด้วย ทำให้ผลิตน้ำมันออกมาน้อยลง จนทำให้เกิดอาการผิวแห้งและรู้สึกคันตามมา ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่ร่างกายของเรากำลังซ่อมแซมตัวเองจากบาดแผลและความเสียหายของเส้นประสาท เส้นประสาทจะมีความไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อแผลเริ่มหาย สัญญาณประสาทต่าง ๆ อาจทำให้สมองตีความอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็นอาการคันก็เป็นได้

ดังนั้นแล้ว อาการคันจึงอาจนับเป็นสัญญาณดีที่บ่งบอกว่าการฟื้นตัวของบาดแผลกำลังเป็นไปด้วยดี ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่า เราไม่จำเป็นต้องกังวลกับอาการคันหลังการปลูกผม เพราะพบได้ทั่วไปเป็นปกติ ส่วนวิธีการดูแลผิวหนังบริเวณที่คัน ก็เริ่มจากการอดทน พยายามไม่เกาบริเวณนั้น เพราะอาจทำให้กราฟต์ผม หรือกลุ่มเซลล์รากผมที่ปลูกใหม่หลุดออกมาได้ แพทย์อาจให้สเปรย์หรือน้ำมัน เช่นน้ำมันมะกอก เพื่อช่วยลดอาการคัน หรือแนะนำให้รับประทานยาในกลุ่มยาต้านฮิสตามีน เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวได้

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่เข้ารับการปลูกผม ไม่เพียงหมั่นสังเกตอาการดังที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ต่อไปนี้เป็นวิธีปฏิบัติตัว เพื่อให้การปลูกผมได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเกิดการหลุดร่วงของกราฟต์ผม หรือกลุ่มเซลล์รากผมน้อยที่สุด
  • ไม่ทำผมที่เพิ่งปลูกหลุด
  • ไม่ควรสัมผัสกราฟท์ผม
  • ควรนอนยกหัวสูง ลดการบวม
  • งดออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วัน
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์
  • งดการใช้สารเคมีหรือทำสีผม เป็นเวลา 2 – 3 เดือน
  • ป้องกันไม่ให้หนังศีรษะสัมผัสแสงแดด หรือความร้อนจากกิจกรรมต่าง ๆ อย่างน้อย  1 เดือน

ที่สำคัญที่สุด คือ ควรมาพบแพทย์ตาม ที่แพทย์นัดหมายเพื่อติดตามผล

เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยการันตีผลลัพธ์ผมสวยและแข็งแรงหลังการปลูกผม รวมถึงสามารถดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้มีสุขภาพดี พร้อมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่มั่นใจมากขึ้น

ปัญหาเส้นผม... อุปสรรคความมั่นใจของผู้หญิง
ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้นที่ต้องกังวลใจกับปัญหาผมร่วงและผมบาง เพราะผู้หญิงจำนวนไม่น้อยก็ประสบกับปัญหาผมที่ส่งผลกระทบไปถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน บ้างก็ไม่สามารถจัดทรงผมได้ตามใจต้องการ บ้างต้องคอยปกปิดส่วนที่ผมบางหรือหายไป และบางคนก็ดูมีอายุเกินวัยเพียงเพราะเส้นผมที่ไม่หนาแน่นเหมือนเคย นั่นจึงทำให้การปลูกผมเริ่มกลายเป็นที่สนใจในหมู่ผู้หญิงหลากหลายช่วงวัยมากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงมักจะให้ความสำคัญกับความสวย บุคลิกภาพ และการดูแลตัวเองให้ดูดีมาเป็นอันดับแรก ๆ ...มาทำความรู้จักกับปัญหาเส้นผมของผู้หญิง ว่าเกิดมาจากสาเหตุอะไร และจะมีความแตกต่างจากปัญหาผมของผู้ชายอย่างไรบ้าง...



แม้ว่าเส้นผมของเราจะหลุดร่วงเป็นปกติอยู่แล้วในทุก ๆ วัน แต่นี่คือสัญญาณผมร่วงที่บ่งบอกว่า สภาพหนังศีรษะและเส้นผมของเรากำลังมีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาการผมร่วงแล้วไม่งอกขึ้นมาใหม่ทดแทน หรือขึ้นใหม่แต่เส้นเล็กและบางลงกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ และที่สำคัญคือ ผมร่วงในแต่ละวันมากกว่า 100 เส้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาการผิดปกติ หรือเข้าสู่ภาวะผมร่วงและผมบางแล้วนั่นเอง 

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงในผู้หญิง ก็มาจากทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต โรคและความเจ็บป่วย รวมถึงความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
  • กรรมพันธุ์
อาการผมร่วงและผมบางจากกรรมพันธุ์ สามารถส่งต่อถึงกันผ่านคนในครอบครัว พบได้ในทั้งผู้ชายและผู้หญิง

  • อายุ
สังเกตได้ว่า เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น ผมจะค่อย ๆ บางลงจนเห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้นในบางราย ทั้งนี้ เป็นเพราะการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะลดน้อยลงประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์รากผมก็เสื่อมถอยลง ทำให้รากผมหดตัว และเส้นผมไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่เหมือนเมื่อช่วงที่อายุยังน้อย

  • ความเครียด
ความเครียดในระดับที่รุนแรง อาจทำให้การทำงานของรากผมหยุดชะงัก จนเส้นผมหลุดร่วงจำนวนมากในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนในบางราย ความเครียดหรือความวิตกกังวลอาจส่งผลต่อเนื่องไปสู่อาการชอบดึงผมตัวเอง ซึ่งเป็นการทำร้ายเส้นผมและหนังศีรษะโดยตรง

  • การขาดสารอาหาร
ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก อดอาหาร หรือผู้ป่วยโรค Anorexia หรือ Bulimia ซึ่งได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนเพียงพออาจพบอาการเส้นผมหลุดร่วง เนื่องจากขาดโปรตีนหรือวิตามินสำคัญจนทำให้รากผมอ่อนแอ

  • สารเคมี
สารเคมีและความร้อนจากการย้อม ดัด ยืด หรือทำสีผมบ่อยเกินไปโดยขาดการบำรุง จะทำให้เส้นผมเปราะบางและหลุดร่วงง่ายยิ่งขึ้น

  • โรคและการบาดเจ็บต่าง ๆ
อาการผมร่วงอาจพบได้ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดัน โรคไต ฯลฯ รวมไปถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดต่าง ๆ ด้วย

  • การตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนบางชนิดในช่วงตั้งครรภ์และช่วงหลังคลอดบุตร อาจส่งผลให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ แต่เส้นผมจะกลับขึ้นมาใหม่ตามปกติภายในช่วงระยะ 6 – 12 เดือน

รูปแบบของอาการผมร่วงและผมบางในผู้หญิง ก็ค่อนข้างต่างจากผู้ชาย โดยจะมีลักษณะเด่นอยู่ 2 รูปแบบ นั่นคือรูปแบบผมบางบริเวณกลางศีรษะ และรูปแบบแนวผมถอยร่นจนทำให้หน้าผากกว้าง ซึ่งสาเหตุหลักของอาการดังกล่าวก็คือการส่งต่อพันธุกรรมลักษณะผมร่วงสู่กันในครอบครัวนั่นเอง

ผู้หญิงที่ประสบปัญหาผมบางตรงกลางศีรษะ เกิดจากการความไม่สมดุลระหว่างเส้นผมที่หลุดร่วงไป กับแส้นผมที่งอกขึ้นใหม่ เมื่อผมใหม่งอกขึ้นน้อยกว่า ผมจึงดูบางลงเรื่อย ๆ สังเกตได้ว่าผมมักจะเริ่มบางจากบริเวณรอยแสก จนกระทั่งเห็นหนังศีรษะชัดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง แต่จะไม่ถึงกับศีรษะล้านอย่างชัดเจนทั้งหมดเหมือนผู้ชาย เนื่องจากผู้ชายจะมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) มากกว่าผู้หญิง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เองมีโอกาสจะถูกเอนไซม์เปลี่ยนให้กลายเป็นฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (dihydrotestosterone) หรือ DHT และส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของรากผมลดลง ทำให้เส้นผมที่งอกใหม่ยิ่งมีขนาดเล็ก อ่อนแอ หลุดร่วงง่าย


ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยก็กำลังพบเจอกับปัญหาแนวผมด้านหน้าถอยร่นเข้าไปจนทำให้หน้าผากกว้าง บางคนอาจเห็นพื้นที่ผมเว้าเข้าไปสองข้างเป็นรูปตัว M ทำให้เป็นกังวลเรื่องความสวยงาม ความอ่อนวัย หรือสูญเสียความมั่นใจในการออกไปพบปะผู้คนในชีวิตประจำวัน 


ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผมบางกลางศีรษะ หรือปัญหาแนวผมถอยร่นจนหน้าผากกว้าง “การปลูกผม” เป็นทางออกหนึ่งที่สามารถช่วยคืนเส้นผมหนาแน่นและกรอบหน้าเนียนสวยให้กับผู้หญิงได้ เพียงลองเข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเส้นผม ถึงรูปแบบของปัญหาผมที่เป็นอยู่ รวมถึงแนวความต้องการในการแก้ไขปัญหา ซึ่งแพทย์สามารถใช้เทคนิคการปลูกผมแบบถาวร ด้วยการย้ายรากผมจากบริเวณด้านหลังท้ายทอย มาเติมเต็มบริเวณที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นหน้าผากหรือกลางศีรษะ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น นอกจากเส้นผมใหม่จะดูหนาแน่น กลมกลืน และเป็นธรรมชาติแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้ปรับแต่งแนวผมและกรอบหน้าใหม่ เพื่อความอ่อนวัยและความสวยที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วย


ไขปริศนา “ผมหงอก” กับ “ความเครียด”
ไขปริศนา “ผมหงอก” กับ “ความเครียด”

“ผมหงอก” เป็นอีกหนึ่งปัญหากวนใจที่หลายคนกังวลว่าจะทำให้เสียภาพลักษณ์จนส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการพบปะผู้คนในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ผู้คนมักจับคู่ว่าเป็นสาเหตุของอาการผมหงอกก็คงหนีไม่พ้น “ความเครียด” แต่ทราบหรือไม่ว่า ความเครียดกับอาการผมหงอกขาวก่อนวัย ยังคงเป็นปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบอยู่จนถึงทุกวันนี้ ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในลักษณะใด

โดยปกติแล้ว สีผมของคนเราจะเริ่มหงอกขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัย ถือเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามธรรมชาติ  โดยเซลล์เม็ดสีที่เรียกว่าเมลาโนโซต์ (melanocytes) ที่เป็นผู้ผลิตเม็ดสีเมลานิน (melanin) นี่เอง ทำให้เส้นผมของเราเป็นสีดำ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระก็จะลดลงจากในวัยหนุ่มสาว ทำให้เซลล์เมลาโนโซต์ค่อย ๆ หายไป ส่งผมให้เส้นผมเปลี่ยนสีตามไปด้วยนั่นเอง แต่ถ้าเราเริ่มมีผมหงอกขาวตั้งแต่ก่อนวัย 30 ล่ะ ความเครียดจะเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการดังกล่าวอย่างไร

นอกจากปัจจัยอื่น ๆ อย่างเช่นการสูบบุหรี่ การสัมผัสมลพิษทางอากาศ หรือการขาดสารอาหารที่เหมาะสม เป็นที่ทราบกันดีว่าความเครียดสามารถส่งผลต่ออาการผมหงอกอย่างฉับพลันได้ เช่น กลุ่มอาการมารี อองตัวเน็ตต์ (Marie Antoinette Syndrome) ที่ทำให้พระนางมารี อองตัวเน็ตต์ อดีตราชินีฝรั่งเศส เกิดอาการผมหงอกขาวโพลนทั้งศีรษะภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนก่อนถูกประหารด้วยกิโยติน แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดีว่าความเครียดส่งผลให้ผมของคนเราหงอกขาวได้ในเวลาอันสั้นด้วยกลไกแบบใด

ไม่นานมานี้ นักวิจัยเริ่มค้นพบความเชื่อมโยงของ “ความเครียด” กับกลไกการผลิตเม็ดสีบริเวณเส้นผม โดยพวกเขาทดลองสร้างภาวะเครียดรุนแรงให้กับกลุ่มหนูทดลองขนสีดำอายุน้อย ผลที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านไม่กี่สัปดาห์ พบว่าขนสีดำของหนูทดลองกลุ่มนี้กลายเป็นสีขาวทั่วทั้งตัว 

สาเหตุเนื่องมาจากเมื่อหนูทดลองรู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัว ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ทำให้หัวใจเต้นถี่ขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น ส่งผลต่อระบบประสาทที่ทำให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรง นำไปสู่การทำลายเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์เมลาโนโซต์ที่ผลิตเม็ดสีในปุ่มรากผม หลังจากสเต็มเซลล์ผลิตเม็ดสีเหล่านี้ถูกทำลายจนหมดลง หนูทดลองจึงไม่สามารถสร้างสีขนได้อีกเลย 

นอกจากนั้น นักวิจัยยังตรวจสอบเปรียบเทียบหน่วยพันธุกรรมหรือยีนของหนูในภาวะเครียดกับหนูทดลองปกติ พบว่าหนูที่มีความเครียดจะผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งออกมาสร้างความเสียหายต่อสเต็มเซลล์เมลาโนไซต์ ซึ่งถ้าให้ยาที่ยับยั้งโปรตีนชนิดนี้กับหนูทดลองในภาวะเครียด ก็จะช่วยชะลอการเกิดการเปลี่ยนสีขนได้

ทั้งหมดนี้เป็นผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard สหรัฐอเมริกา ร่วมกับมหาวิทยาลัย Sao Paulo ประเทศบราซิล ที่พยายามจะไขความลับเกี่ยวกับภาวะเครียดและอาการผมหงอกมาเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าการค้นพบครั้งล่าสุดนี้จะยังเป็นเพียงการวิจัยในกลุ่มหนูทดลอง แต่นักวิจัยเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในการพัฒนายาตัวใหม่ ๆ หรือวิธีการที่จะป้องกันและชะลออาการผมหงอกก่อนวัยที่เกิดจากความเครียดได้ในอนาคต

ไขความลับยา Minoxidil แก้ปัญหาผมร่วงและผมบางได้จริงหรือ?
ชื่อของ Minoxidil น่าจะเคยผ่านสายตาของผู้ที่กำลังประสบปัญหาผมร่วงหรือผมบางกันมาบ้าง เพราะ Minoxidil คือตัวยารักษาอาการดังกล่าวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีทั้งในรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน หรือยาทาภายนอก เช่นแบบโลชั่น แบบน้ำ และแบบเนื้อโฟม สามารถพบตัวยา Minoxidil ในผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งมีทั้งแบบความเข้มข้น 2% และ 5% หลายคนอาจยังสงสัยว่า Minoxidil มีคุณสมบัติอย่างไรในการแก้ปัญหาผมร่วงและผมบาง และจะสามารถเพิ่มเส้นผมให้หนาแน่นและแข็งแรงขึ้นได้จริงหรือไม่ มาลองทำความรู้จักกับตัวยาชนิดนี้ให้มากขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

ทราบหรือไม่ว่า เดิม Minoxidil ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการรักษาอาการผมร่วงและผมบาง แต่เป็นยาที่ใช้ลดความดัน สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการความดันโลหิตสูง เนื่องจากสามารถออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ทำให้ความดันลดลงได้ โดยผู้ป่วยจะรับประทาน Minoxidil ในรูปแบบเม็ด แต่ในตอนนั้น แพทย์เริ่มสังเกตเห็นว่า หลังจากผู้ป่วยใช้ยาตัวนี้ติดต่อกันประมาณ 4 – 6 เดือน จะพบผลข้างเคียงจากยานั่นคือทำให้ผู้ป่วยที่มีผมบาง กลับมีเส้นผมใหม่เกิดเพิ่มขึ้น แพทย์จึงทดสอบเพิ่มเติมกับอาสาสมัครและผู้ป่วย และพบว่าร้อยละ 70 ของผู้เข้ารับการทดสอบด้วยการใช้ยา Minoxidil มีเส้นผมใหม่งอกขึ้นจริง สันนิษฐานว่าเกิดจากคุณสมบัติของตัวยาในการขยายหลอดเลือดนี่เอง ที่อาจทำให้มีเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงเส้นผมมากขึ้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการประยุกต์ใช้ยา Minoxidil สำหรับการรักษาอาการผมร่วงและผมบางมาจนถึงปัจจุบัน 

หากจะทำความเข้าใจกลไกการทำงานของ Minoxidil ที่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงของหนังศีรษะและเส้นผมนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจวงจรของเส้นผม หรือ Hair Life Cycle เสียก่อน โดยปกติแล้ว เส้นผมของคนเราซึ่งมีประมาณ 100,000 – 150,000 เส้นทั่วทั้งศีรษะนั้น จะมีระยะการเจริญเติบโตและหลุดร่วงไปตามธรรมชาติอยู่ 4 ระยะ ดังนี้

- ระยะเจริญเติบโต หรือ Anagen Phase 
ระยะนี้ ต่อมรากผมที่อยู่ลึกลงไปในชั้นหนังแท้ จะเริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นผมที่ค่อย ๆ ยาวขึ้น ใช้เวลาประมาณ 3 – 7 ปี ยิ่งระยะนี้ยาวนานเท่าไหร่ ผมของเราก็ยิ่งยาวและหนาแน่นขึ้น แต่หากระยะนี้กินเวลาสั้นลง ผมเกิดใหม่ก็จะกลับสั้น บาง และไม่แข็งแรง จนเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการผมร่วง ผมบาง ที่นำไปสู่ภาวะผมล้านได้

- ระยะหยุดการเจริญเติบโต หรือ Catagen Phase
เมื่อเข้าสู่ระยะนี้ ต่อมรากผมจะหยุดการแบ่งเซลล์ ส่งผลให้เส้นผมเจริญเติบโตช้าลงจนค่อย ๆ หยุดไปในที่สุด ใช้เวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์

- ระยะพัก หรือ Telogen Phase
หลังจากเส้นผมหยุดการเจริญเติบโตแล้ว จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวมายังบริเวณผิวหนังศีรษะเพื่อรอการหลุดร่วง เป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ขณะเดียวกันเส้นผมที่กำลังจะเกิดใหม่ ก็จะทำหน้าที่ช่วยผลักให้เส้นผมเก่าหลุดร่วงออกไป ซึ่งโดยทั่วไป ผมของคนเราอาจร่วงได้ประมาณ 50 – 100 เส้นในแต่ละวัน 

หลังจากนั้น เส้นผมที่เกิดใหม่ก็จะเริ่มเข้าสู่วงจรเส้นผมในระยะแรกคือ Anagen Phase เพื่อเริ่มต้นวัฏจักรใหม่อีกครั้ง หมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป ซึ่งเมื่อเราอายุมากขึ้น ก็มีโอกาสที่วงจรเส้นผมจะย่นระยะเวลาสั้นลงตามวัย เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เส้นผมอ่อนแอลงได้เช่นกัน

(PHOTO REFERENCE) ภาพวงจรเส้นผมในระยะต่าง ๆ


เมื่อเห็นภาพการเติบโตในแต่ละระยะของเส้นผมแล้ว ลองมาดูกลไกการออกฤทธิ์ของ Minoxidil กันบ้าง ในระยะเจริญเติบโต หรือ Anagen Phase ซึ่งเป็นระยะที่เส้นผมค่อย ๆ งอกขึ้นใหม่ ตัวยานี้จะช่วยขยายหลอดเลือดบริเวณหนังศีรษะให้กว้างขึ้น เปิดทางให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นำพาสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ มาหล่อเลี้ยงและบำรุงหนังศีรษะและรากผมได้มากขึ้น จนส่งผลให้รากผมแข็งแรง พร้อมที่จะเติบโตไปเป็นไรผม และเส้นผมที่มีสุขภาพดีต่อไป 

ไม่เพียงเท่านั้น Minoxidil ยังช่วยกระตุ้นให้รากผมที่อยู่ในระยะพัก หรือ Telogen Phase เข้าสู่ระยะเจริญเติบโต หรือ Anagen Phase ได้เร็วขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลหากผู้ใช้ยาตัวนี้จะพบว่าผมหลุดร่วงมากขึ้นในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มใช้ หรือประมาณ 2 สัปดาห์แรก เนื่องจากเป็นสัญญาณที่ดี แสดงถึงประสิทธิภาพของตัวยาในการเร่งการผลัดเส้นผมเก่าที่หยุดการเจริญเติบโตแล้ว หรือเส้นผมที่ลีบเล็กและบางทิ้งไป เพื่อเตรียมรากผมให้พร้อมสำหรับการเกิดของเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงขึ้น 

ทั้งนี้ Minoxidil จะช่วยฟื้นฟูรากผมที่หดตัวและอ่อนแอ ให้สามารถกลับมาสร้างเส้นผมใหม่ได้อีกครั้ง ที่สำคัญ ตัวยานี้ยังช่วยขยายรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะ ขนาดของเส้นผมที่งอกขึ้นใหม่จึงมีโอกาสที่จะใหญ่และหนากว่าเดิมด้วย เมื่อรากผมที่เคยเป็นปัญหากลับมาสร้างเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงขึ้นได้ เราจึงเห็นผลลัพธ์เส้นผมที่เพิ่มปริมาณหนาแน่นขึ้นทั่วศีรษะในที่สุด


เรียกได้ว่า Monoxidil จะส่งผลให้ระยะพัก หรือ Telogen Phase สั้นลง ขณะเดียวกันก็ยืดระยะเจริญเติบโตของเส้นผม หรือ Anagen Phase ให้ยาวนานขึ้น ทำให้เส้นผมไม่หลุดร่วงง่าย การทำงานของตัวยานี้จึงเท่ากับเป็นการรีเซ็ตวงจรเส้นผมใหม่ให้กลับสู่ภาวะปกติ ดังนั้น ระยะเห็นผลของยา จึงต้องใช้เวลาประมาณ 3 – 4 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสภาพหนังศีรษะและเส้นผมของแต่ละคน ระหว่างการรักษาจึงต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอในการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเกิดของผมสักเส้นหนึ่งนั้น ต้องใช้เวลาหลายเดือนตามวงจรเส้นผมโดยธรรมชาตินั่นเอง

แม้การรักษาด้วยตัวยา Minoxidil จะช่วยชะลออาการผมร่วงและผมบาง รวมถึงช่วยสร้างเส้นผมใหม่ ให้เติบโตจากไรผม เป็นเส้นผมที่แข็งแรงกว่าเดิมได้ แต่ก็เช่นเดียวกับยาทั่วไปที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียควบคู่กัน ผู้ใช้จึงควรศึกษาทำความเข้าใจการทำงานของตัวยา หรือใช้ภายใต้ความดูแลของแพทย์ เพื่อระวังผลข้างเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นอาการระคายเคือง หรือการมีขนขึ้นในบริเวณอื่นนอกจากหนังศีรษะ เป็นต้น 

ทั้งนี้ อาจมีผู้ประสบปัญหาผมร่วงและผมบางที่พบว่าการใช้ยา Minoxidil ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร  ซึ่งนอกจากสาเหตุที่พบได้บ่อย อย่างเช่นการใช้ยาไม่ต่อเนื่องยาวนานเพียงพอแล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การเริ่มต้นรักษาช้าเกินไป หากปล่อยให้ผมร่วงอย่างต่อเนื่อง จนเส้นผมเล็กลงเรื่อย ๆ และรูขุมขนบนหนังศีรษะหดตัวจนเส้นผมใหม่ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้อีก โอกาสที่จะรักษาโดยการใช้ยาตามที่กล่าวมา ก็จะเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้นแล้ว การตอบสนองต่อตัวยาของแต่ละคนยังแตกต่างกัน ประสิทธิภาพในการใช้ยาจึงขึ้นอยู่กับสุขภาพของหนังศีรษะและเส้นผมด้วย หากหนังศีรษะและเส้นผมอ่อนแอ การใช้ยา Minoxidil อาจช่วยรักษาอาการผมร่วงและผมบางได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่สำคัญ หลายคนพบว่า Minoxidil อาจช่วยรักษาอาการผมร่วงและผมบางบริเวณกลางศีรษะได้ แต่รักษาอาการดังกล่าวบริเวณแนวผมด้านหน้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร

หากต้องการผลลัพธ์การรักษาแบบถาวรร การเข้ารับการปลูกผมจากคลินิกหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ ยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงไม่แพ้กัน เนื่องจากมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่นเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม หรือ FUE (Follicular Unit Excision) ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือขนาดเล็กเจาะนำรากผมที่แข็งแรงจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่ในบริเวณที่มีปัญหาโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมือนเป็นการย้ายกอผมที่สมบูรณ์แข็งแรงไปซ่อมแซมในบริเวณที่เส้นผมบางลงไป โดยอาศัยความชำนาญในการระวังไม่ให้รากผมขาด รวมถึงความละเอียดอ่อนในการวางทิศทางแนวผมให้ดูเป็นธรรมชาติหรือเหมาะกับกรอบหน้ามากที่สุด เพื่อให้วงจรชีวิตของรากผมใหม่สามารถอยู่กับผู้เข้ารับการรักษาได้นานที่สุดนั่นเอง 


สำหรับขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์และรักษา แพทย์อาจเริ่มจากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาผมร่วงและผมบางในแต่ละคนก่อน ร้อยละ 90 ของผู้ประสบปัญหาทั้งผู้ชายและผู้หญิงส่วนใหญ่ เกิดมาจากกรรมพันธุ์ มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่นโรคที่เกี่ยวข้องกับหนังศีรษะ ความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย รวมไปถึงภาวะความเครียด ซึ่งการรักษาให้ตรงกับที่มาหรือต้นเหตุของโรค ภายใต้การวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด 

อย่างไรก็ตาม หลังการปลูกผมแบบถาวร แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา หรือ treatment ร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นผมบริเวณอื่นหลุดร่วงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าทั้งการปลูกผมและการใช้ยาต่างก็มีบทบาทในการรักษาในแบบของตัวเอง ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ในการเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะสม หรือใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ในระยะยาวที่ดีที่สุดนั่นเอง 

ปลูกผม “ครั้งเดียวจบ” จริงหรือไม่ ทำความเข้าใจ “ที่มา” ของภาวะผมร่วงและผมบางหลังการปลูกผม
แม้ว่าการปลูกผมใหม่ จะเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการแก้ปัญหาผมร่วงและผมบางที่อาจนำไปสู่ภาวะผมล้าน สามารถคืนเส้นผมแข็งแรงเป็นธรรมชาติ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้หลาย ๆ คนออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ แต่บางส่วนของผู้ที่เข้ารับการปลูกผมเรียบร้อยแล้ว กลับยังต้องกังวลใจกับปัญหาผมร่วงและผมบางต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลาย ๆ คนยังเข้าใจผิดว่า เมื่อเข้ารับการปลูกผมใหม่แล้ว จะสามารถแก้ปัญหาผมร่วงและผมบางได้ทั่วทั้งศีรษะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงนั้น ด้วยปัจจัยทางชีวภาพของมนุษย์เอง ทำให้ปัญหาผมร่วงและผมบาง ต้องการการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องกว่าที่คิด
มาลองทำความเข้าใจถึงสาเหตุหลักที่แท้จริงของอาการผมร่วงและผมบางกันก่อน เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ชายมักจะพบปัญหาผมร่วงและผมบางมากกว่าผู้หญิง คำตอบของปัญหานี้ ซ่อนอยู่ลึกลงไปในพันธุกรรมของคนเรา เนื่องจากยีนหรือหน่วยพันธุกรรมที่ควบคุมลักษณะผมร่วงและผมบางนั้น จะแสดงลักษณะเด่นในเพศชาย และแสดงลักษณะด้อยในเพศหญิง เรียกว่าเป็นลักษณะที่อยู่ใต้อิทธิพลทางเพศ (sex – influenced trait) ยีนที่ว่านี้ ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมส่งต่อถึงกันผ่านคนในครอบครัว และเป็นสาเหตุหลักของอาการผมร่วงและผมบางมากถึงร้อยละ 95 ทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น อาการผมร่วงและผมบาง ยังมีฮอร์โมนเพศเป็นปัจจัยสำคัญต่อการแสดงออกของลักษณะดังกล่าว นั่นคือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) โดยผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดลักษณะผมร่วงและผมบางผ่านทางพันธุกรรมนั้น จะพบระดับเอนไซม์ที่ชื่อ 5-alpha reductase เพิ่มขึ้นบริเวณหนังศีรษะ และเอนไซม์ตัวนี้เอง ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ให้กลายเป็นฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (dihydrotestosterone) หรือ DHT ผลจากฮอร์โมน DHT จะทำให้รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้เส้นผมที่เกิดขึ้นใหม่มีรากผมที่อ่อนแอ ทั้งยังมีลักษณะบางและสั้นลง จนหลุดร่วงไวกว่ากำหนดตามไปด้วย นำไปสู่อาการผมร่วง ผมบาง และภาวะศีรษะล้านได้ในที่สุด
หากลองสังเกตจะพบว่า ลักษณะของอาการผมร่วงและผมบางในผู้ชายนั้น จะแตกต่างจากผู้หญิง โดยมีรูปแบบการร่วงของเส้นผมเริ่มจากบริเวณต่าง ๆ ได้แก่

รูปแบบ A ผมเริ่มร่วงจากบริเวณหน้าผาก เว้าเข้าไปจนถึงกลางศีรษะ

รูปแบบ O ผมเริ่มร่วงจากบริเวณกลางศีรษะ ขยายออกมารอบ ๆ จนเหลือเพียงผมบริเวณท้ายทอย รูปแบบนี้เป็นลักษณะที่พบค่อนข้างมากในผู้ชายส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชายเอเชีย และมักเกิดจากกรรมพันธุ์เป็นสาเหตุหลัก

รูปแบบ M ผมเริ่มร่วงจากบริเวณหน้าผากทั้งสองข้าง เว้าเข้าไปเป็นรูปตัว M รูปแบบนี้อาจเริ่มต้นพบได้ในผู้ชายที่อายุยังไม่มาก หรือประมาณ 18 ปีเรื่อยไปจนกระทั่ง 30 ปี

รูปแบบ O ผสมกับรูปแบบ M ผมเริ่มร่วงจากบริเวณกลางศีรษะ และบริเวณหน้าผากทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน เป็นรูปแบบที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงและผมบางได้หนักที่สุด



(PHOTO REFERENCE) ภาพตัวอย่างรูปแบบของผมร่วงและผมบาง


ลักษณะของอาการผมร่วงและผมบางเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่วัยหนุ่ม และปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ในผู้ชายทั่วไปที่ต้องเผชิญกับภาวะผมร่วงและผมบาง มักจะเกิดกับเส้นผมบริเวณหน้าผากและกลางศีรษะ ในขณะที่ผมบริเวณท้ายทอยจะคงเหลืออยู่เป็นบริเวณสุดท้ายเสมอ เนื่องจากรากผมบริเวณท้ายทอยมีความแข็งแรง และมีลักษณะพิเศษที่สามารถทนทานต่อฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการผมร่วงและผมบางได้มากกว่าปกติ โดยทั่วไปนั้น รากผมที่แข็งแรงจะสามารถสร้างเส้นผมได้ถึงประมาณ 20 รอบตลอดอายุของรากผม โดยเส้นผมจะมีวงจรชีวิต 1 รอบอยู่ที่ประมาณ 6 – 10 ปีก่อนจะหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้น รากผมที่แข็งแรงเพียงพอ และอยู่ในปัจจัยที่เหมาะสม อาจมีอายุได้สูงสุดถึง 200 ปี เลยทีเดียว

นั่นจึงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมการปลูกผมใหม่ จึงต้องนำรากผมบริเวณท้ายทอย ไปปลูกทดแทนบริเวณที่ผมบางลงไป อย่างเช่นหน้าผากหรือกลางศีรษะ นั่นก็เพราะคุณสมบัติในการไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมน DHT ทำให้เส้นผมบริเวณท้ายทอยนี้มีรากผมที่แข็งแรงที่สุด เมื่อนำไปปลูกใหม่ แม้จะเป็นการปลูกลงในบริเวณที่เคยเกิดปัญหาผมร่วงและผมบาง เส้นผมที่ปลูกใหม่นี้ ก็จะยังคงคุณสมบัติต้านฮอร์โมน DHT ไว้เหมือนเดิม ทำให้เส้นผมมีความแข็งแรง ยากที่จะเกิดปัญหารากผมอ่อนแออย่างเก่าได้อีก ทั้งยังสามารถมีอายุอยู่ต่อไปได้เป็นร้อยปี



สำหรับวิธีการปลูกผมถาวรนั้นก็มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ ขึ้นตลอดเวลา ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เช่นเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม หรือ FUE (Follicular Unit Excision) เทคนิคนี้เป็นการเจาะนำรากผมที่แข็งแรงจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้เครื่องมือเจาะรอบกอผมลึกลงไปยังรากผม กอผมหรือเนื้อเยื่อของรากผมตรงนี้เรียกว่า กราฟต์ (Graft) ซึ่งในแต่ละกราฟต์จะประกอบด้วยเส้นผมอยู่รวมกันประมาณ 1 – 4 เส้น

หลังจากดึงกราฟต์หรือกอผมเหล่านั้นออกมาแล้ว จะต้องนำกราฟต์ไปผ่านกระบวนการคัดแยกตามลักษณะทิศทางของเส้นผม รวมถึงจำนวนเส้นผมในแต่ละกราฟต์เสียก่อน จากนั้น แพทย์จะเปิดช่องหนังศีรษะบริเวณที่มีปัญหาและต้องการปลูกผมใหม่ เพื่อนำกราฟต์ใหม่ใส่ลงไป ซึ่งแพทย์จะพิจารณาถึงจำนวนกราฟต์ที่ใช้ปลูกใหม่ตามสภาพปัญหาผมและบริเวณที่จะปลูกผมของแต่ละคน เหมือนเป็นการย้ายกราฟต์ผมที่สมบูรณ์แข็งแรงไปซ่อมแซมในบริเวณที่เส้นผมบางลงไป โดยอาศัยความชำนาญในการระวังไม่ให้รากผมขาด รวมถึงความละเอียดอ่อนในการวางทิศทางแนวผมให้ดูเป็นธรรมชาติหรือเหมาะกับกรอบหน้ามากที่สุด เพื่อให้วงจรชีวิตของรากผมใหม่สามารถอยู่กับผู้เข้ารับการรักษาได้นานที่สุดไปจนตลอดชีวิตนั่นเอง

ถ้าอย่างนั้น สาเหตุของภาวะผมร่วงและผมบาง หลังจากการปลูกผมใหม่ เกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นก็เป็นเพราะเรานำรากผมจากบริเวณท้ายทอยมาปลูกใหม่เฉพาะบริเวณที่ผมบางลงอย่างชัดเจนเท่านั้น ในขณะที่ผมบริเวณอื่น ๆ ยังคงเป็นรากผมเดิม ที่ได้รับผลจากกรรมพันธุ์ซึ่งเปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายให้กลายเป็นฮอร์โมน DHT จนส่งผลให้รากผมอ่อนแอและเส้นผมหลุดร่วงอยู่ หลาย ๆ คนที่เข้ารับการปลูกผมใหม่แล้ว จึงอาจพบปัญหาผมร่วงและผมบางต่อเนื่องได้

ในกรณีนี้ สามารถลองปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเส้นผม เพื่อขอคำปรึกษาในการรับมือกับภาวะผมร่วงและผมบางได้ โดยแพทย์จะวิเคราะห์สาเหตุและออกแบบบริการดูแลเส้นผมต่าง ๆ ซึ่งหากพบว่าสาเหตุของอาการผมร่วงมาจากกรรมพันธุ์ แพทย์มักแนะนำให้ทำการปลูกผมเพิ่มเติม เพื่อให้ผมดูหนาแน่นขึ้น โดยเลือกเทคนิคการรักษาใหม่ ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ ให้ประสิทธิผลสูง สามารถลดอาการบาดเจ็บ ลดขนาดของรอยแผล รวมถึงใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยลงได้




นอกจากนั้น การหันมาใส่ใจดูแลเส้นผมในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการหลุดร่วงของเส้นผม หรือทำให้รากผมอ่อนแอ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยยืดระยะเวลาการหลุดร่วงของเส้นผมให้ช้าลงได้ เช่น

- พฤติกรรมการบำรุงผม
ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรือการทำสีผม และเลือกใช้แชมพูที่อ่อนโยน เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ ทั้งยังไม่ควรสระผมบ่อยครั้งจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นในการสระผม รวมถึงการใช้ไดร์เป่าผมแบบลมร้อนกับหนังศีรษะโดยตรง เพราะความร้อนจะทำให้เส้นผมยิ่งเปราะบางเนื่องจากโปรตีนถูกทำลาย ที่สำคัญ ไม่ควรหวีผมขณะที่ผมยังเปียก เพราะเป็นช่วงที่เส้นผมอยู่ในสถานะที่อ่อนแอที่สุด จะเป็นการรบกวนฐานผมและทำให้ผมยิ่งหลุดร่วงง่าย

- พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
เลือกรรับประทานอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีนหรือวิตามินต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพและความแข็งแรงของเส้นผม ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฐานผมเช่นกัน

- พฤติกรรมการจัดการกับความเครียด
ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดอาการผมร่วงและผมบางได้ วิธีง่าย ๆ อย่างเช่นการฝึกสมาธิหรือออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนและช่วยให้เราจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น

ปัญหาผมร่วงและผมบางต่อเนื่องหลังการปลูกผม ต้องอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้องถึงที่มาและสาเหตุที่แท้จริงของอาการดังกล่าว จึงจะนำไปสู่การเลือกวิธีการดูแลรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ภายใต้ความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะผมร่วงและผมบาง สามารถเรียกคืนความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีกลับมาได้ พร้อมกับเส้นผมแข็งแรงและสุขภาพดีที่จะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน